คำขวัญประจำจังหวัดสตูล
“สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์”
เมื่อกล่าวถึง จังหวัดสตูล หลายๆ ท่านคงนึกถึงแหล่งสถานที่ท่องเที่ยว ยอดนิยม นั่นคือ “หลีเป๊ะ” จะมีใครสักกี่คน ที่รู้จักแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดสตูล ที่มีดีมากกว่าทะเล
ทริปนี้ เป็นทริปต่อเนื่อง ต่อจาก มนต์เสน่ห์ เพื่อนบ้านแดนใต้ “ลังกาวี” (<<<<<คลิกชมรีวิว) ซึ่ง I am Devil ยัยตัวร้าย ได้ร่วมทริป กับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 17 – 20 กรกฎาคม 2558 “ลังกาวี – สตูล”
I am Devil ยัยตัวร้าย จะพาทุกท่าน เที่ยวชมแหล่งธรรมชาติ ในจังหวัดสตูล เชื่อว่าบางท่านยังไม่เคยไป และบางท่านเคยไปเยือนมาแล้ว ซึ่งตัวของ I am Devil ยัยตัวร้าย เคยไปเยือนมาแล้ว อาทิ หลีเป๊ะ, ถ้ำภูผาเพชร, ล่องแก่ง วังสายทอง และปากบารา
ช่วงที่เราไปฝนตกเกือบทุกวัน ข้อแนะนำ อย่าลืมพกร่ม หรือเสื้อฝน ในการรับชมรีวิว เพื่อจะได้สัมผัสถึงอรรถรส ในการรับชม ถ้าพร้อมแล้ว ตาม I am Devil ยัยตัวร้าย มาเลยค๊า
สถานที่แรก ที่เราจะไป นั่นคือ “ถ้ำภูผาเพชร”
ตั้งอยู่ หมู่ 9 ป่าพน ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล
ถ้ำภูผาเพชร เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ และอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด
ก่อนขึ้นถ้ำจะมีป้ายบอก “ข้อห้ามนักเที่ยวถ้ำ” อยู่ใกล้กับป้าย ถ้ำภูผาเพชร
-
อย่าสูบบุหรี่ภายในถ้ำ ซึ่งภายในถ้ำอากาศน้อย แม้กระทั้งถ้ำที่มีอากาศผ่านเข้า – ออก อย่างถ้ำภูผาเพชรก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้ำเป็นสิงห์อมควัน คุณต้องอดบุหรี่ อย่างน้อยก็ตลอดเวลาที่มุดลอดอยู่ในถ้ำ เพื่อความเพลิดเพลินของเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ (ก๊าซคาร์บอนออกไซด์ + ความชื้นภายในถ้ำจะเกิดกรดคาร์บอนิก จะกัดกร่อนหินปูนให้เสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว)
-
อย่านำอาหารเข้าไปรับประทานภายในถ้ำ ถ้ำมิใช่สถานที่ปิกนิก จึงไม่ควรนำอาหารใดๆ เข้าไปรับประทานในถ้ำ เศษอาหารที่ตกค้างอยู่ภายในถ้ำจะสร้างกลิ่นอย่างรุนแรง ถุงใส่อาหาร หรือถุงขนมขบเคี้ยว ก็กลายเป็นขยะอันน่าขยะแขยง ถ้าเป็นน้ำดื่มควรใส่แบบกระติกแบบสะพาย ถ้าคุณไม่สามารถปฏิบัติได้ จะไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวไหนให้คุณสัมผัสแบบธรรมชาติๆ ต่อไป
อย่าลืมปฏิบัติตามข้อห้ามด้วยนะคะ
ถ้ำภูผาเพชร เปิดให้บริการเวลา 08.30 น. – 15.30 น. ของทุกวัน อัตราค่าเข้าชม ท่านละ 30 บาท ระดับมัธยาม/นักศึกษา ท่านละ 20 บาท และระดับประถม ท่านละ 10 บาท
ถึงฝนจะตก ก็สามารถมาเที่ยวได้นะคะ แต่เดินขึ้นถ้ำภูผาเพชร ก็ระวังลื่นสักนิดนึง ระยะทางจนถึงปากถ้ำ ประมาณ 50 เมตร เดินขึ้นบันไดราวๆ 300 ขั้น ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ภายในถ้ำจะค่อนข้างมืด มีไฟตามทางไม่กี่จุด ระหว่างทางที่จะเดินขึ้นถ้ำ ตรงศาลาแรก จะมีบริการให้เช่าไฟฉาย แบบไฟฉายหัวกบ หรือไฟฉายคาดหัว ดวงละ 20 บาท ถ้าเกิดเรายืมไปแล้ว เกิดถ่านหมด ระหว่างที่เราอยู่ภายในถ้ำสามารถบอกเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะทำการคืนเงินให้ค่ะ ทางที่ดีควรจะพกไฟฉายมาเองดีกว่า ถ้าเกิดวันที่เรามาเที่ยวชม ไฟฉายที่บริการให้เช่า ไม่เพียงพอขึ้นมานี่แย่เลย I am Devil ยัยตัวร้าย ก็พกไฟฉายส่วนตัวมาเหมือนกัน และก็เช่าเพิ่มอีก 1 ดวง ระหว่างอยู่ในถ้ำถ่านหมดค่ะ ดีนะที่พกไฟฉายส่วนตัวมาด้วย เราเลยแจ้งเจ้าหน้าที่ แต่เราไม่รับเงินคืนค่ะ ให้เจ้าหน้าที่เอาไปเป็นค่าซ่อมบำรุงไฟฉายดีกว่า
เราใช้เวลาเดินมาถึงปากทางเข้าถ้ำประมาณ 30 นาที ช่วงที่เราฝนตก ต้องเดินระมัดระวังเป็นอย่างมากค่ะ
ทางถ้ำภูผาเพชร จะมีเจ้าหน้าที่เป็นไกด์ พาเราเข้าไปชมภายในถ้ำ พร้อมทั้งให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย
ไกด์ของเราชื่อ “ลุงนิล” ซึ่งลุงนิล เป็นคนที่ใช้ขวาน เปิดปากถ้ำภูผาเพชร เมื่อปี พ.ศ. 2540 ที่ต้องใช้ขวาน เนื่องจากถ้ำแห่งนี้เป็นหินปูนซะส่วนใหญ่
ทางเข้าถ้ำภูผาเพชร เป็นช่องที่เล็กมาก ทางเข้าขนาดเท่ากับพอดีตัว ใครมีสัมภาระ แนะนำให้เอาไว้ในรถดีกว่าค่ะ ติดแค่ของมีค่ามาก็พอ
อย่างพวกเรา มีกล้อง ก็เอาแค่กล้อง แฟลช ขาตั้งกล้อง ส่วนกระเป๋ากล้องก็เอาไว้บนรถค่ะ
ต้องก้มต่ำๆ นั่งหยองๆ เดินเข้ามา สำหรับเป้ใบเล็กๆ อย่างที่น้องปิ๊ง สะพาย สามารถรอดผ่านเข้ามาได้ค่ะ
เรามาทราบประวัติ “ถ้ำภูผาเพชร” กันก่อนค่ะ
ถ้ำภูผาเพชร ถูกค้นพบโดยพระธุดงค์ ซึ่งมีนามว่า “หลวงตาแผลง” ชื่อเดิมของถ้ำภูผาเพชร คือ “ถ้ำลอด, ถ้ำยาว หรือถ้ำเพชร” เนื่องจากถ้ำมีความยาว ลักษณะคดเคี้ยว ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟ ผนังถ้ำมีประกายแวววาวเหมือนเพชร จึงเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำเพชร”
เมื่อปี พ.ศ. 2541 นักโบราณคดีของสำนักงานโบราณคดี และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ 10 จังหวัดสงขลา ได้เข้าสำรวจภายในบริเวณถ้ำ ได้พบหลักฐานทางโบราณคดี กระดูกมนุษย์ยุคโบราณ ส่วนกระโหลกศรีษะ พบเศษภาชนะดินเผาเคลือบลายเชือกทาบ ที่ก้นภาชนะมีเปลือกหอยยึดเกาะ ซึ่งสันนิษฐานว่า ถ้ำภูผาเพชรน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ 3,000 ปี มาแล้ว
ถ้ำภูผาเพชร มีเนื้อที่ภายในถ้ำกว่า 50 ไร่ เป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใหญ่ติดอันดับ 4 ของโลก และใหญ่ที่สุดในเอเชีย เนื้อที่ภายในถ้ำกว้างใหญ่ เพดานถ้ำสูงโปร่ง ภายในถ้ำแบ่งเป็นห้องต่างๆ 20 ห้อง การตั้งชื่อแต่ละห้อง ตั้งตามลักษณะของธรณีสัณฐานที่พบห็น
ขอขอบข้อมูลจาก เว็บไซต์ >>>tourismthailand และเว็บไซต์ >>>ผู้จัดการ
ห้องแรก ห้องค้ำสุริยัน
เป็นเสาแท่งหินขนาดใหญ่ 2 แท่ง ค้ำยันเพดานด้านบน
บริเวณฐานเสาค้ำสุริยัน
ด้านหลังเสาค้ำสุริยัน จินตนาการดูกันนะคะ ว่าเหมือนเรือไหมเอ๋ย
ห้องที่ 2 ห้องหัวช้าง
หินงอกหินย้อย งอกออกมาเป็นจำนวนมาก มีรูปลักษณะคล้ายหัวช้าง
ห้องที่ 3 ห้องหัวมังกร
ลักษณะ หินงอกหินย้อย งอกมาออก คล้ายหัวมังกร
ภายในถ้ำจะเต็มไปด้วย หินงอกหินย้อย ข้อห้าม ห้าม!!! สัมผัส หินงอกหินย้อย เป็นอันขาด เพราะจะทำให้ หินงอกหินย้อย หยุดการเจริญเติบโต ไม่มีการงอกออกมาอีก เป็นนักท่องเที่ยวที่ดี ก็อย่าลืมปฏิบัติ ตามข้อห้ามด้วยค่ะ
ห้องที่ 4 ห้องม่านเพชร
เป็นซุ้มประตู เมื่อกระทบแสงไฟจะเกิดประกายแวววาว เหมือนเพชร
ห้องที่ 5 ซุ้มประตูวัง
เกิดเป็นหินงอกหินย้อย ตั้งตรงขึ้นสู่เพดาน เป็นเสาขนาดใหญ่ ให้เราลอดซุ้มประตู เดินผ่านไปตามทางสะพานไม้ที่ถูกสร้างไว้ เพื่อเป็นทางเดินให้นักท่องเที่ยวเดินชมภายในถ้ำ
ห้องที่ 6 แนวปะการัง
งอกมามีลักษณะคล้ายกับแนวปะการัง
ห้องที่ 7 หินผ้าม่าน
บริเวณผนังถ้ำ มีหินงอกหินย้อย งอกออกมา คล้ายผ้าม่าน
ห้องที่ 8 ห้องเพชร
เมื่อกระทบแสงไฟ จะแวววาว เหมือนประกายเพชร
ห้องที่ 9 ห้องเห็ด
หินงอกหินย้อย งอกตรงสู่เพดาน งอกออกมาเป็นรูปเห็ด รวมตัวเป็นเสาเห็ด 2 ต้นใหญ่
ห้องที่ 10 ห้องปะการังเพชรน้ำค้าง
ลักษณะเป็นแนวปะการัง จำนวนมาก
ห้องที่ 11 ห้องหัวแหวนเพชร
รูปทรงคล้ายหัวแหวนเพชร
ดูตรงด้านบนขวา จะคล้ายฟันปลาฉลาม
ห้องที่ 12 สายน้ำเพชร
ตรงฐานเมื่อส่องไฟ จะเห็นทางน้ำไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา
ห้องที่ 13 ห้องวังค้างคาว
จะมีฝูงค้างคาว เกาะอยู่ที่บริเวณฝาผนัง เมื่อเราเดินผ่าน หรือมีแสงกระทบที่ตัวค้างคาว ค้างคาวบางตัวก็จะบินออกมาจากที่เกาะผนัง บางตัวก็ยังคงเกาะอยู่ไม่ขยับไปไหน
ก่อนถึงลานกว้าง บริเวณอ่างน้ำมนต์ศักดิ์ เมื่อแหงนหน้ามองมายังด้านบน ซ้ายมือจะเป็นรูปพระฤาษี และทางด้านขวามือจะเป็นพระพุทธรูป
ห้องที่ 14 อ่างน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์
จะเป็นแท่นหินปูน ที่มีคล้ายๆ อ่าง มีน้ำขังอยู่ข้างใน
จะมีหยดน้ำ ไหลลงมาจากเพดานถ้ำ เขาเล่าว่า ถ้าใครเอามือรองรับหยดน้ำได้ ก็ให้ขอพรอธิฐานจะได้ดั่งสมปรารถนา
ห้องที่ 15 ห้องลานเพลิน
มีลักษณะเป็นลานเวที แสดงคอนเสิร์ต
ห้องที่ 16 ลานแสงมรกต
ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ ของถ้ำภูผาเพชร จะเป็นช่องที่มีแสงสว่างส่องผ่านลงมาภายในถ้ำ และเป็นจุดเดียวที่มีแสงส่องผ่านลงมา แสงปรากฏเป็นสีเขียวมรกต
UNSEEN THAILAND ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
แสงสาดส่อง สู่หินมรกต ช่างวิเศษ และสวยงาม จากธรรมชาติรังสรรค์
ช่องที่แสงสว่างผ่านลงมาเป็นทางลาดชัน ไกด์ กำชับ ว่าห้ามขึ้นไป เด็ดขาด!!! เพราะเป็นทางลาดชัน และจะเกิดอุบัติเหตุ พลัดกลิ้งตกลงมาได้ ทางไกด์ จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากได้เตือนแล้ว เคยมีนักท่องเที่ยว วัยรุ่น รั้นไม่ยอมฟัง ปีนป่ายขึ้นไป จนพลัดตกลงมาแขนหัก เพราะฉะนั้น เมื่อไกด์เตือน เราก็อย่าทำนะคะ
จากลานแสงมรกต ทางด้านซ้ายมือจะมีช่องเข้าไปทางด้านในซึ่งมืดมาก จะเป็น ห้องที่ 17 พญานาค ซึ่งจะเป็นหินงอก ก่อตัวเป็นพญานาค เลี้ยวผ่านมายังบริเวณนั้น I am Devil ยัยตัวร้าย ไม่มีภาพให้ชมค่ะ
ห้องที่ 18 ห้องอ่างศิลาใหญ่
อยู่ทางด้านขวามือ ลานแสงมรกต เป็นลานใหญ่ ตรงช่องนี้ จะมีลมพัดผ่านเข้ามา อย่าเดินเข้าไปข้างในนะคะ เพราะทางด้านในจะเป็นเหวลึกลงไปยังด้านล่าง ซึ่งมืดมาก ระวังจะพลัดตกลงไป ได้รับอันตรายได้ค่ะ
ห้องที่ 19 โดมศิลาเพชร
เดินกลับออกมาทางเดิม ก่อนจะเดินกลับออกสู่ทางปากถ้ำ ก่อนเดินขึ้นสะพาน จะพบ ห้อง โดมศิลาเพชร เป็นโดม มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา เมื่อกระทบแสงไฟ จะแวววาวคล้ายเพชร
ทางด้านซ้ายมือจาก โดมศิลาเพชร จะมีแท่นเสาหินปูน ลักษณะคล้าย เจ้าแม่กวนอิม
ห้องที่ 20 ห้องปะการัง
เราจะเดินไปสู่ ห้อง ปะการัง เป็นห้องสุดท้าย ที่เราจะเดินกลับไปยังทางเข้าปากถ้ำ
บริเวณ ห้อง ปะการัง จะพบหินงอกหินย้อย งอกออกเป็นแนวปะการัง จำนวนมาก
เป็นแท่นงอกออกเป็นรูปร่างปะการัง
เราใช้เวลาเดินชมภายในถ้ำ ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ทางออก คือ ทางเดียวกับทางเข้า
เราได้รับความรู้ มากมายเกี่ยวประวัติของถ้ำภูผาเพชร ลักษณะของหินงอกหินย้อย ในลักษณะต่างๆ ที่ตั้งชื่อทั้งหมด 20 ห้อง I am Devil ยัยตัวร้าย จดชื่อห้องต่างๆ ตามที่ไกด์ ได้แนะนำแต่ละห้อง อาจมีบางห้อง หรือชื่อห้องไม่ตรงกับข้อมูลของถ้ำภูผาเพชร ก็ขอกราบขออภับมา ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ
ของที่ระลึก ตุ๊กตาซาไก ซึ่ง จ.สตูล มีชาวซาไกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และพบมากที่สุด ใน อ.มะนัง
เดินเที่ยวชม ถ้ำภูผาเพชร ใกล้เวลาอาหารมื้อเที่ยง เรารับประทานอาหารที่
“นกน้ำรีสอร์ท”
ตั้งอยู่ เลขที่ 41 หมู่ 3 ถนนฉลุง – ละงู ต.ควนโพธิ์ อ.เมืองสตูล จ.สตูล
เบอร์โทรติดต่อ 074-724888, 074-799394, 089-8765920
เว็บไซต์ >>> นกน้ำรีสอร์ท และ facebook >>> นกน้ำรีสอร์ท สตูล
เมนู แกงส้ม
รสชาดจัดจ้าน เข้มข้น ถึงเครื่องแกง เปรี้ยวน้ำมะนาว ผสมกับส้มแขก
เมนู ปลาดุกนา ทอดแดดเดียว
เป็นเมนู ที่ต้องสั่งเบิ้ลกันเลยทีเดียว อร่อย กรอบ
เมนู ต้มไก่บ้านขมิ้น
ใช้ไก่บ้าน แต่เนื้อนุ่มไม่เหนียว
เมนู กุ้งผัดสตอกะปิ
รสชาดอร่อย หอมกะปิ ไม่เค็ม รสชาดกลมกล่อม ส่วนสะตอก็สดอร่อย
เมนู ยำถั่วพูล
ครบทุกรส หวาน เปรี้ยว เค็ม ไม่หวานมาก ปรุงผสมกันได้อย่างลงตัว
เมนู ยำปลาทอด
ความกรอบของปลา เนื้อนุ่ม ผสมกับมะม่วง และน้ำยำ รสชาดครบรส เปรี้ยว หวาน เค็ม
ตบท้ายด้วย มะม่วง น้ำปลาหวาน
ดูว่ามะม่วงจะออกเหลืองสุก แต่ยังคงความกรอบ รสออกเปรี้ยวหวาน ส่วนน้ำปลาหวาน ก็หวานอร่อย ใช้น้ำตาลปี๊บ เคียวจนเป็นน้ำปลาหวาน หอมกะปิ
รสชาดอาหาร ขอบอกเลยว่า อร่อยทุกเมนู สมกับเป็นอาหารทางใต้จริงๆ ค่ะ I am Devil ยัยตัวร้าย ให้คะแนน 4.5 ดาว ค่ะ
สถานที่ต่อไป เราจะไปยังท่าเรือบ้านกลางตันหยงโป อยู่ทางปากอ่าวสตูล ตั้งอยู่ หมู่ 1 ต.ตันหยงโป อ.เมืองสตูล จ.สตูล
การเดินทาง จากตัวเมืองสตูล วิ่งเส้นทางหลวงหมายเลข 4051 ขับไปประมาณ 8 กิโลเมตร ทางไปท่าเรือเจ๊ะะบิลัง เจอทางแยกให้เลี้ยวซ้ายไปยังบ้านตันหยงโป ประมาณ 15 กิโลเมตร มีป้ายบอกตลอดทาง
เราจะนั่งเรือลำนี้ ไปชมความงดงามของ “หาดสันหลังมังกร”
เดินลงเรือพร้อมที่จะไปชมหาดสันหลังมังกร เราต้องใส่ชูชีพด้วยนะคะ เพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน
ไกด์ ของเรา ชื่อ “บังฮาเลน”
เกาะที่เราเห็น นั่นคือ เกาะตะรุเตา
เกาะที่อยู่ด้านหน้า คือ เกาะลังกาวี ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ไปยังเกาะลังกาวี
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ก็มาถึงยังหาดสันหลังมังกร ตรงกลางทะเล มีเกลียวคลื่นกำลังพัดเข้าหาฝั่ง แต่เราไม่เห็นฝั่งใช่มั้ยคะ แล้วมันเกิดเกลียวคลื่นเหมือนจะพัดเข้าหาฝั่งได้อย่างไร เรามาดูกันค่ะ
“หาดมังกร” หรือ “สันหลังมังกร” หรือ “ทะเลแหวก” ซึ่งเกิดจากน้ำทะเลลดลง ช่วงน้ำที่ลดลง น้ำจะกระทบเข้าหากัน จะมองเห็นเหมือนเกลียวคลื่น เปรียบเสมือนมังกรกำลังตื่น เริ่มเคลือนตัวไปมา
เราลงจากเรือหางยาว มายืนอยู่ท่ามกลางทะเล ตอนนี้น้ำยังไม่ลด เรายังไม่เห็นสันหลังมังกรค่ะ
ช่วงเวลาที่เราสามารถมองเห็นหลังสันหลังมังกร ขึ้นอยู่กับข้างขึ้น ข้างแรม และกี่ค่ำ ถ้าจะให้แน่ใจ ติดต่อสอบถาม “ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตันหยงโป” เบอร์โทร 074-722077
ช่วงที่เรามาน้ำลดยังมองไม่เห็นเป็นสันทราย
เมื่อน้ำลด จะมองเห็นเป็นสันทราย หรือทะเลแหวก ซึ่งมีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร เรายืนอยู่ตรงกลางระหว่าง ส่วนหัวมังกร คือ เกาะหัวมัน หรือ เกาะปูเลาอูบี
หางมังกร คือ เกาะสาม หรือเกาะปูเลาตีเกอ จุดที่เรายืนอยู่บนสันหลังมังกร น้ำทะเลมีความลึกประมาณ 10 เมตร
ทะเลเริ่มแหวกให้เราได้เห็นสันทรายแล้วค่ะ
สันทราย ที่เราเห็นไม่ใช่เม็ดทราย แต่เป็นเปลือกหอยที่ทับถมกันมาหลายร้อยปี หาดสันหลังมังกร มีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร และเชื่อมต่อระหว่าง 3 เกาะ คือ เกาะหัวมัน หรือ เกาะปุลาอูบี, เกาะกวาง เป็นเกาะชมวิว และเกาะสาม หรือ เกาะปูเลาตีเกอ
ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั้ยคะว่า ที่เราเดินบนสันหลังมังกร คือ เปลือกหอย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะค่ะ
เป็นเปลือกหอยทั้งหมด เราไม่ใส่รองเท้า จะโดนเปลือกหอยบาดเท้าหรือเปล่า เปลือกหอยที่ทับถมกัน เป็นเปลือกหอยเล็กๆ ซึ่งไม่บาดเท้าเราค่ะ I am Devil ยัยตัวร้าย ไปสัมผัสมาแล้ว ไม่มีบาดแผล แถมยังเดินได้สบายค่ะ
ขนาดกระโดด เมื่อเท้าสัมผัส สันทราย ก็ไม่เป็นอะไรค่ะ
หาดสันหลังมังกร ถือว่าเป็นทะเลแหวก ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ก็ว่าได้ค่ะ
เราใช้เวลาเดินเล่นบนหาดสันหลังมังกร ประมาณ 30 นาที น้ำก็ลดลงเรื่อยๆ ทำให้เห็นสันทรายมากขึ้น
อยากเก็บภาพตอนพระอาทิตย์กำลังตกดิน คงได้ภาพสวยน่าดูเลยค่ะ แต่ช่วงที่เราไปฝนตก ฟ้าไม่เป็นใจให้เราได้เก็บภาพตะวันลับฟ้า และเราก็ไม่สามารถอยู่จนถึงเวลานั้นได้ เพราะจะมืดค่ำซะก่อน ต้องรีบกลับเข้าฝั่ง จะเกิดอันตรายซะก่อนค่ะ
2 สาว เพื่อนร่วมทริป น้องปิ้ง และน้องหลิว กำลัง Selfie เก็บภาพบรรยากาศ ที่ครั้งหนึ่ง เราได้มาเหยียบอยู่ท่ามกลางหาดสันหลังมังกร และได้มาสัมผัสกับทะเลแหวกที่ยาวที่สุดประเทศไทย
น้ำยังลดไม่เห็นสันทราย แต่เราสามารถเดินไปได้ค่ะ แต่เดินระวังด้วยนะคะ อย่าเดินเลยออกนอกสันทราย เพราะเราจะพลัดตกลงทะเล ซึ่งมีความลึกถึง 10 เมตร
ได้เวลาที่เราต้องอำลาหาดสันหลังมังกรกันแล้วค่ะ
เวลาที่เราออกจากหาดสันหลังมังกร ประมาณ 18.00 น.
บังฮาเลน ได้เตรียมอาหารว่างให้พวกเราด้วยค่ะ
อาหารว่าง คือ หมี่ผัด ห่อด้วยใบตอง
หาดสันหลังมังกร สามารถติดต่อ ชุมชนส่งเสริมการท่องเที่ยวตันหยงโป เบอร์โทร 074-722077 ค่าบริการทัวร์ 3 เกาะ ราคาลำละ 2,500 บาท นั่งได้ 10 คน
เราออกจากท่าเรือบ้านกลางตันหยงโป มุ่งหน้าสู่ อ.เมืองสตูล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง วันที่เรามาตรงกับช่วงฮารีรายอ ซึ่งทางจังหวัดสตูล ได้จัดงาน “สตูลอิดิ้ลฟิตรี โอเพนเฮาส์ 1436 ครั้งที่ 2” (Satun Edilfitri Open House 2nd 1436) ณ บริเวณหอนาฬิกา จังหวัดสตูล ตรงข้ามมัสยิดมำบัง ถนนบุรีวานิช เราได้รับเชิญเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วยค่ะ (ติดตามอ่านรีวิวได้ที่ >>>สตูลอิดิ้ลฟิตรี โอเพนเฮาส์ 1436 ครั้งที่ 2)
ร้านอาหารที่เราได้ไปรับประทาน คือ “ร้านน้องณี”
ตั้งอยู่ เลขที่ 3/3 ถ.สถิตยุติธรรม ต.พิมาน อ.เมืองสตูล จ.สตูล (อยู่เยื้องกับศาลเด็กและเยาวชน)
เปิดให้บริการเวลา 10.00 น. – 22.00 น.
เบอร์โทรติดต่อ 074-723012, 074-712277
บริเวณภายในร้านน้องณี โล่ง กว้าง สบาย ปลอดโปร่งดีค่ะ ที่จอดรถ ก็กว้างเลยทีเดียว
เดินเข้าไปทางด้านในจะมีสนามเด็กเล่นให้บริการค่ะ
เมนู แกงส้มปู
เมนูเด็ดมาก มาแล้วอย่าลืมสั่ง รสชาดของน้ำแกงส้ม เข้มข้น เผ็ดจี๊ดจ๊าด เลยค๊า ทำให้ I am Devil ยัยตัวร้าย กินได้น้อย เพราะมันเผ็ด แต่อร่อย ถึงเครื่อง เนื้อปู หวาน นุ่ม ปูดำบางตัว ก็มีไข่ ซึ่ง I am Devil ยัยตัวร้าย ชอบๆๆๆ ค่ะ
เมนู หอยหลอดผัดเครื่องแกง
ไม่ต้องบอกนะคะว่า จะเผ็ดหรือเปล่า ตอบเลยว่า เผ็ด อาหารทางใต้ จะเผ็ดอยู่แล้วค่ะ หยอดหลอด หวาน กรอบ ส่วนเครื่องแกง ก็ข้มข้น ค่ะ
เมนู ปลาผัดฉ่า
เนื้อปลาสด ไม่คาว รสชาด อร่อย กลมกล่อมรสผัดฉ่าเลยค่ะ
เมนู ไข่เจียวห่อหมกทะเล
รสชาด ถึงเครื่องห่อหมก เนื้ออาหารทะเล ใส่มาให้เยอะมากค่ะ
เมนู หมูผัดกะปิ
หอมกะปิ ราสชาด ถือว่าอร่อย หมูนุ่ม ลิ้มรสกะปิ ได้ดีทีเดียว
เมนู ยำถั่วพลู
รสชาดเปรี้ยว หวาน ค่ะ
สุดท้าย ผัก และน้ำพริก
ทางใต้ จะเป็นของคู่กัน เสิร์ฟ ด้วยผัก และน้ำพริก
รสชาดอาหารของ ร้านน้องณี ถือว่าอร่อยเกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะ แกงส้มปู รสชาดอร่อย ถึงเครื่องแกง เลยค่ะ I am Devil ยัยตัวร้าย ให้คะแนน 4.5 ดาวค่ะ
ยังไม่หมดค่ะ มาถึงสตูลทั้งที เราต้องมาลอง โรตี ชาชักกันค่ะ แอบเสียดาย ร้านดัง ที่เราจะไปกินปิด เนื่องจากวันฮารีรายอ เราก็เลยไปทานอีกร้าน ชื่อ
ร้าน “ขอบคุณสตูล”
ตั้งอยู่ เลขที่ 79 ถ.ตำมะหงอุทิศ ต.พิมาน อ.เมืองสตูล จ.สตูล
เปิดบริารทุกวัน เวลา 15.00 น. – 24.00 น.
เบอร์โทร ติดต่อ 074-722055, 081-3282348
เราถามทางร้านว่า สามารถสาธิต การชง ชาชัก ให้เราได้ชมได้หรือเปล่า ทางร้านบอก ได้เลยครับ
การชักขึ้น – ชักลง ที่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ ยิ่งชักสูงยิ่งดี ซึ่งจะทำให้ส่วนผสมต่างๆ เข้ากันได้ดี
การเทกลับไปกลับมาระหว่างกระป๋อง ทำให้เกิดฟอง เป็นการทำให้ชาเย็นลง และทำให้ชากับนมระเหยเข้ากันได้ดี
มีการชักชา ควง หมุนรอบตัวด้วยค่ะ
ได้แล้วค่ะ ชาชัก ซึ่งเป็นชาเย็น นั้นเอง รสชาด ไม่หวาน มันหอมชา ค่ะ
เราขออนุญาต บุกถึงในครัว การทำโรตี เตรียมแป้งโรตี ปั้นเป็นกลมๆ แป้งที่ใช้มาทำโรตี บางคนใช้แป้งสาลี บางคนใช้แป้งอเนกประสงค์ ส่วนทางร้านขอบคุณ I am Devil ยัยตัวร้าย ไม่ได้ถามว่าทำจากแป้งอะไรค่ะ
น้องเค้ากำลัง นวดแป้งโรตี จากโรตีที่เป็นก้อนกลม นำมานวดให้แบน แล้วนำมาสบัด อย่างที่น้องเค้าทำให้ดูค่ะ เมื่อสบัดแป้งโรตีได้ที่ นำแป้งโรตี มาดึงให้เป็นแผ่นใหญ่
จับมุมผับแป้งโรตี เป็นสี่เหลี่ยม จากนั้น นำมาทอดในกะทะ ด้วยน้ำมันร้อนๆ ใส่เนย ให้ความหอม มัน
โรตี ที่น้อง กำลังทอด คือ โรตีธรรมดา (โรตี ธรรมดา คือ แป้งโรตี อย่างเดียว) ถ้าเกิดสั่ง โรตีแกง ก็ใช้ โรตีธรรมดา แต่จะเสิร์ฟ แกงควบคู่ด้วยค่ะ
เมื่อสุก เหลือง กรอบ นำขึ้นมาจากกะทะ ใช้ผ้า ตบโรตี ที่ใช้ผ้า เนื่องจากโรตี มันร้อน และซับน้ำมันไปในตัว หั่นโรตี เป็นชิ้นเล็กๆ
เสร็จแล้วค่ะ สำหรับ โรตีธรรมดา ถ้าใครส่ง โรตีแกง ก็จะเพิ่มน้ำแกง ให้ด้วยค่ะ อย่างเราสั่ง โรตี ธรรมดา ก็ จะมีแค่ น้ำข้นหวาน และน้ำตางค่ะ
เรามาดูวิธีการทำ โรตีกระเบื้อง กันค่ะ
แป้งที่จะมาทำ โรตี กระเบื้อง ไม่ได้มีลักษณะกลม เหมือนโรตีธรรมดา เค้าจะทำแป้งเป็นแผ่นใหญ่ไว้เลยค่ะ
นำมาทอดในกะทะ น้ำมันร้อนๆ แต่ไม่ได้ลงทีเดียวทั้งแผ่นค่ะ ค่อยๆ เอาแป้งโรตี ลงกะทะทีละด้าน น้องเค้า ไม่กลัวร้อนเลยค่ะ ใช้เพียงกระดาษเล็กๆ จับตรงปลายเองค่ะ
น้ำแป้งโรตี ลงทอด ในส่วนที่ยังไม่กรอบ
ทอด เหลือง กรอบ ทั้งแผ่นแล้ว นำขึ้นมาจากกะทะ แล้วราดด้วยนมข้นหวาน
โรตีกระเบื้อง บางที่ เรียก โรตีทิชชู่ ค่ะ
คืนนี้อิ่มมาก จัดหนักจัดเต็ม ทั้งของคาว และของหวาน ในความคิดเห็นส่วนตัวของ I am Devil ยัยตัวร้าย ร้านขอบคุณ แป้งโรตี ยังไม่นุ่ม กรอบ เท่ากับ โรตี ที่เคยไปกินมา ส่วนชาชัก รสชาด อร่อยเลยค่ะ ร้านนี้ ให้คะแนน 3 ดาวค่ะ
ค่ำคืนนี้ เราพักที่ โรงแรม น้องใหม่ ใน อ.เมืองสตูล เพิ่งเปิดได้ 3 เดือน เองค่ะ นั่นคือ
“The One Boutique Hotel”
ตั้งอยู่ เลขที่ 7 ถนนสตูลธานี อ.พิมาน อ.เมืองสตูล จ.สตูล
เบอร์โทรติดต่อ 074-721999, 095-5365622
Facebook : The One Boutique Hotel
เราพักที่ เดอะวัน บูติค โฮเทล จำนวน 2 คืน คืนแรก ที่ข้ามมาจากเกาะลังกาวี และคืนนี้ค่ะ
สามารถเข้าไปชมรีวิว The One Boutique Hotel (<<<<< คลิกชมรีวิว)
อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ เราเริ่มออกเดินทาง สถานที่แรกของวันนี้ เราจะไป เยียมชม คือ
“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล”
ตั้งอยู่ ถนนสตูลธานี ซอย 5 ตรงข้ามกับสำนักงานที่ดินจ.สตูล
เปิดให้บริการ วันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 09.00 น. – 16.00 น. หยุดวันจันทร์, วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์
อัตราค่าเข้าชม ชาวต่างประเทศ 30 บาท และชาวไทย 10 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 074-723140
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล หรือ คฤหาสน์กูเด็น สร้างสมัยรัชการลที่ 5 สร้างเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2545 เพื่อเป็นบ้านพักรับรองแขกเมือง และเพื่อรับเสด็จรัชกาลที่ 5 ในครั้งเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ และเรียกชื่อว่า “คฤหาสน์กูเด็น” ตามชื่อเจ้าเมืองสมัยนั้น คือ กูเด็น บินกูแม๊ะ (พระยาภูมินารถภักดี) ต่อมาปี พ.ศ. 2490 – พ.ศ. 2506 ได้ใช้เป็นศาลากลางจังหวัดสตูล และเป็นศูนย์กลางการปกครองเมืองสตูล ชาวบ้านจึกเรียกคฤหาสน์หลังนี้ว่า “ศาลากลางเก่า” กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล เป็นอาคารก่ออิฐ 2 ชั้น ตัวตึกเป็นแบบตะวันตก ประตูหน้าต่างรูปโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป หลังคาทรงปั้นหยาแบบไทย ใช้กระเบื้องดินเผารูปกล้วย บานหน้าต่างเป็นแผ่นไม้ชิ้นเล็กๆ เป็นเกล็ดแนวนอน ช่องลมด้านบนตกแต่งรูปดาว ตามลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม
เราไปวันจันทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล ปิดค่ะ ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์เมืองสตูล วิถีชิวิตของชาวสตูลในด้านต่างๆ เช่น ชีวิตชาวเลเกาะหลีเป๊ะ การปั้นหม้อ ห้องบ้านเจ้าเมืองสตูล ห้องวัฒนธรรมชาวไทยมุสลิม ให้ความรู้เกี่ยวกับคิลปวัฒนธรรมประเพณี และวิถีชิวิตของคนในท้องถิ่น
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก เว็บไซต์ >>> tourismthailand
เสาไฟถนน หน้าคฤหาสน์กูเด็น
รูปทรงไม่ซ้ำแบบใคร หัวเสาไฟ เป็นรูป ว่าวพื้นบ้านภาคใต้ เรียกว่า ว่าวหัวควาย
ว่าวหัวควาย เป็นว่าวที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างว่าวหลา (จุฬา) กับ ว่าววงเดือน แต่เปลี่ยนส่วนที่เป็นรูปดวงจันทร์ให้เปป็นรูปหัวควายแทน และจะติดปีกไว้เหนือปีก เพื่อให้เสียงดังเหมือนเสียงควายร้อง
ขอขอบคุณข้อมูล เรื่องว่าว จาก เว็บไซต์ >>> oknation
ระหว่างที่เราเดินไปทาง อ.ละงู ข้างทางมีของขาย เราจอดรถ เพื่อจะลงไปซื้อข้าวโพดต้ม แม่ค้าเป็นชาวไทยมุสลิม
ข้าวโพดต้มร้อนๆ พร้อมขายค๊า
ฟักละ 10 บาท ข้าวโพดอ่อน รสหวาน อร่อยค่ะ
มีขายทุเรียนด้วย พันธุ์ก้านยาว ลืมถามราคาค่ะ
จะซื้อกลับไปก็เกรงใจ เพื่อนร่วมทริป กลิ่นคงรัญจวนน่าดูเลยค่ะ ก็เลย แกะกินกันตรงร้านนี้ล่ะค่ะ
เรามาถึง อ.ละงู เพื่อเข้าชม “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู”
ตั้งอยู่ ตรงข้ามวัดอาทรรังสฤษฎิ์ ถนนละงู – ฉลุง จะมีด้วยกัน 2 ตึก ตึกที่เราจะเข้าชม ตรงด้านล่าง เป็นคิวรถตู้ ปากบารา – หาดใหญ่
เวลาเปิดทำการ วันจันทร์ – วันศุกร์ หยุดวันเสาร์ – วันอาทิตย์ เวลา 09.00 น. – 16.30 น.
อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท, เด็ก 10 บาท, เด็กนักเรียน 5 บาท และชาวต่างชาติ 40 บาท
เบอร์โทรติดต่อ 074-78 1338, 074-78 1382
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู อยู่ชั้น 2 ค่ะ
พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านละงู ก่อตั้ง โดย คุณชัยวัฒน์ ไชยกุล ท่านชื่นชอบสะสมของเก่า โดยเริ่มสะสมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เมื่อมีของสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเปิดพิพิธภัณฑ์ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2531 ณ บ้านเลขที่ 1 ต.ละงู อ.ละงู จ.สตูล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ >>> tourismthailand
เดินเข้ามายังบริเวณชั้น 2 ห้องโถงจะแสดงโชว์ อาทิ ถ้วยชาม ชามเคลือบกระเบื้อง นาฬิกโบราณ เป็นต้น
เอามาให้ดูบางส่วน ศตราวุธ และซากฟอสซิล
เราเดินเข้ามาภายในด้านใน ซ้ายมือ ข้างในสุด จะมีหุ่น เป็นเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของคุณเอกชัย ศรีวิชัย คงรู้จักกันดีในนามนักร้องลูกทุ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศไทย
บริเวณเดียวกัน จัดแสดง อาทิ แจกัน ตะเกียง เชียงเทียน จานชาม เตารีด เครื่องทองเหลือง เป็นต้น
เราเดินไปยังอีกอาคารนึงค่ะ ซึ่ง พิพิธภัณธ์พื้นบ้านละงู จะมีด้วยกัน 2 ตึก จะมีทางเชื่อมระหว่างตึก อยู่ที่ชั้น 2
จะมีแสดงโชว์ อาทิ หม้อ พัดลม ปิ่นโต เตารีด จักรเย็บผ้า เหรียญกษาปณ์ เป็นต้น
สถานที่ต่อไป เราเดินทางไปยัง อบต.ทุ่งหว้า ใช้เวลาเดินทางจาก อ.ละงู ประมาณ 30 นาที รั้วทางเข้า เสาไฟจะเป็นรูปปั้นช้าง ถือ โคมไฟ
“พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์”
ตั้งอยู่ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล
เบอร์โทรติดต่อ 074-789317
คุณณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า และผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูล ได้เป็นวิทยากร ในการบรรยายเกี่ยวกับ พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์
จังหวัดสตูลเป็นแหล่งที่มีฟอสซิลเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย อายุประมาณ 500 ล้านปี เก่าแก่กว่ายุคไดโนเสาร์ ฟอสซิลที่พบ เป็นฟอสซิลช้างสเตโกดอน อายุประมาณ 1.8 ล้านปี ฟอสซิลช้างเอลลิฟาส อายุประมาณ 1.1 ล้านปี นอกจากนี้ ยังมีซากแรดโบราณสกุลเกนดาธิเรียม และคิโลธิเรียม และค้นพบมนุษย์ถ้ำ กระดูกมนุษย์โบราณ
ขอขอบคุข้อมูลจาก เว็บไซต์ >>> องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า
ภายในพิพิธภัณฑ์ ได้จัดแสดงนิทรรศกาล ดังนี้
-
นิทรรศกาลเฉลิมพระเกียรติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
-
ช้างเผือกคู่พระบารมี ร.9
-
ช้างยุทธหัตถีรักษาแผ่นดินไทย
-
ช้างเผือกกับพระราชพิธีในปัจจุบัน
-
ประวัติอำเภอทุ่งหว้า
-
ประเพณีต่างๆ ในจังหวัดสตูล
-
การแบ่งยุคโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
-
แหล่งช้างดึกดำบรรพ์ในประเทศไทย
-
มหายุคพาลีโอโซอิก Paleozoic Ere Fossil จากจังหวัดสตูล
ฟอสซิล (Fossil) สัตว์ทะเลดึกดำบรรพ์ มหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic Ere Fossil)
ตัวอย่าง ฟอสซิลที่ค้นพบ
“อุทยานธรณีสตูล (Satun Geo Park)”
การขุดพบซากโบราณในพื้นที่ จ.สตูล ทำให้พื้นที่ จ.สตูล มีความสำคัญ และโดดเด่นทั้งทางด้านธรณีวิทยา ด้านซากดึกดำบรรพ์ และด้านแหล่งเรียนรู้ จึงประกาศจัดตั้งอุทยานธรณีขึ้น เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2557 ในชื่อ “อุทธยานธรณีสตูล” (Satun Geo Park) ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ ทุ่งหว้า มะนัง ละงู และอำเภอเมือง (ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา) โดยมี นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายก องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า เป็นผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูลคนแรก
เพื่อเป็นการผลักดันให้อุทยานธรณีสตูล (Satun Geo Park) ให้ UNESCO รับรองเป็นเครือข่ายอุทยานธรณีโลก (Global Geo Park) จะต้องประชาสัมพันธ์แหล่งเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ สร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันมีคุณค่า ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ให้รู้จักความสำคัญของสิ่งที่ตนมีอยู่ และช่วยกันดูแลรักษาเอาไว้ อีกทั้งยังทำให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ >>> touronthai
คุณณรงค์ฤทธิ์ ได้กล่าวว่า “Unesco ได้ประกาศ Global Geo Park อุทยานธรณีโลก ทั่วโลก 111 ที่ ส่วนมากจะเป็นโซนยุโรป โซนเอเชีย ในประเทศจีนมีมากถึง 38 ที่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม อุทธยานธรณีสตูล เป็นที่แรกในประเทศไทย กำลังทำเรื่องเสนอไปที่ UNESCO เพื่อรับการประเมิน ต้นปี พ.ศ. 2559 ถ้าได้รับรองการประเมิน ปลายปี พ.ศ. 2559 จะได้ประกาศเป็น Global Geo Park ที่แรกของประเทศไทย”
คุณณรงฤทธิ์ พาพวกเราชมซากฟอสซิลที่ค้นถูกพบ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราเติมพลังอาหารมื้อเที่ยงกันที่ “ร้านอาหาร ครัวสายทิพย์”
ตั้งอยู่ บริเวณสามแยกสะพานวา หมู่ 5 ต.ปาแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล
เปิดให้บริการเวลา 10.00 น. – 22.00 น.
เบอร์โทรติตด่อ 089-8693860
แผนที่ ร้านอาหารครัวสายทิพย์
ขอขอบคุณแผนที่ จากเว็บไซต์ >>> travelsatun
เมนู กุ้งกระเทียมโทน
เป็นเมนูแนะนำ ที่ห้ามพลาด!!! ต้องลอง รสชาด ออกเปรี้ยว หวาน กระเทียมโทน กรอบ
เมนู แกงส้ม
รสชาดไม่จัดจ้านมาก
เมนู เมี่ยงปลา
ทานเหมือนเมี่ยงคำ แต่เอามายำ รสชาดออก เปรี้ยว หวาน เนื้อปลาสด ไม่คาว
เมนู ปลาทอด
เนื้อปลาสด ไม่คาว ทอดกรอบ
เมนู ทอดมันกุ้ง
กรอบ นุ่ม
เมนู ยำมะเขือ
ไม่รู้ว่าทางร้านลืมราดน้ำยำ หรือเปล่า รสชาดไม่เหมือนยำเลย
โดยรวมแล้วรสชาด ถือว่าอร่อย แต่ไม่จัดจ้านสมกับเป็นร้านอาหารปักษ์ใต้ เลยค่ะ I am Devil ยัยตัวร้าย ให้คะแนน 3.5 ดาว
สถานที่สุดท้ายที่เราจะไป ก่อนโบกมืออำลา จ.สตูล นั่นคือ “ถ้ำเลสเตโกดอน”
ตั้งอยู่ หมู่ 7 บ้านคีรีวง ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล
สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คุณณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ (นายก อบต.ทุ่งหว้า และผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูล) เบอร์โทร 091-0345989
ทางเข้าถ้ำเลสเตโกดอน จะเป็นสวนยางพารา
ภูเขาด้านหน้าของเรา คือ ถ้ำเลสเตโกดอน
เจ้าหน้าที่กำลังเตรียมเรือแคนนู
พวกเรากำลังเดินไปบริเวณปากถ้ำ และเจ้าหน้าที่ทยอยนำเรือแคนนูไปยังบริเวณปากถ้ำ
ใช้เวลาเดิน 5 นาที เราก็มาถึงปากทางเข้าถ้ำเลสเตโกดอน ทางข้ามไปยังไปถ้ำ มีทั้งสะพานลิง (สะพานแขวน) หรือสะพานแบบปูนซีเมนต์
เจ้าหน้าที่คนนี้ แข็งแรงจริงๆ เลยค่ะ แบกเรือแคนนู มาทางเท้าเองเลย หลบสิคะหลบ อย่ามัวถ่ายรูปอยู่สิคะ I am Devil ยัยตัวร้าย รีบหลบเกือบไม่ทันเลยค๊า
ขอถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก ก่อนที่เราจะเข้าถ้ำเลสเตโกดอน เพราะเราจะไม่กลับมาทางเดิมค่ะ เราจะออกไปยังบริเวณทะเลอันดามัน และขึ้นฝั่งที่ท่าอ้อย
ช้างสเตโกดอน เป็นช้างดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 1.8 ล้านปี
เรามาทราบประวัติ “ถ้ำเลสเตโกดอน” กันก่อนค่ะ
ถ้ำเลสเตโกดอน เดิมมีชื่อว่า ถ้ำกล้วย เป็นถ้ำริมทะเลมีน้ำขึ้นน้ำลง ช่วงน้ำขึ้นจะอยู่ในระดับ 2 เมตร จากพื้นถ้ำ ภายในถ้ำพบฟอสซิลจำนวน 215 ชิ้น ฟอสซิลที่พบ คือ ฟันช้างสเตโกดอน ฟันช้างเอลลิฟาส เขี้ยวและฟันแรดคิโลธิเรียม แรดเกนดาธิเรียม เขากวาง ซี่โครงกวาง เป็นต้น ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อ ถ้ำเลสเตโกดอน
ขอขอบคุข้อมูลจาก เว็บไซต์ >>> องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า
เจ้าหน้าที่ทยอยพายเรือแคนนู พร้อมที่จะพาพวกเราล่องเรือเข้าไปในถ้ำแล้วค่ะ
ก่อนที่เราจะล่องเรือแคนนูเข้าไปในถ้ำเลสเตโกดอน เจ้าหน้าที่ แจกเสื้อชูชีพ และหมวกกันน็อค เพื่อความปลอดภัย ให้พวกเรา และเจ้าหน้าที่แนะนำถ้าเลสเตโกดอนคร่าวๆ เจ้าหน้าที่มีถุงกันน้ำให้ยืม แต่ไม่เพียงพอสำหรับทุกคน ถ้าเป็นไปได้ นำถุงกันน้ำมาเองดีที่สุดค่ะ
พร้อมลงเรือแคนนูแล้วค่ะ ทริปนี้ ช่างภาพเยอะพอสมควร เจ้าหน้าที่เลยต้องจัด คนตัวเล็ก นั่งกับคนตัวใหญ่ เล่นเอาช่างภาพแต่ละคนหวั่นๆ กลัวกล้องจะตกน้ำ งานนี้ I am Devil ยัยตัวร้าย เสียสละไม่เอากล้องเข้าไปค่ะ ฮ่าๆๆๆ เป็นการที่เสียสละอย่างมากเลยค๊า
เรือแคนนู นั่งได้ 3 คน นักท่องเที่ยว 2 คน และเจ้าหน้าที่พายเรือแคนนู
เมื่อทุกคนลงเรือแคนนูครบทุกคนแล้ว เจ้าหน้าพายเรือ ทยอยพายเข้าไปในถ้ำ
ก่อนเข้าไปยังภายในถ้ำ เราจะผ่านช่องแคบๆ ระวังมือ และเท้า อย่าออกนอกตัวเรือ ค่ะ
ระยะทางที่เราจะล่องเรือชมภายในถ้ำ 4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ภายในถ้ำจะมืดมาก จะมีเรือที่มีไฟสปอร์ตไลท์ นำทางเข้าไป และเจ้าหน้าที่พายเรือทุกคนจะมี ไฟหัวกบ หรือไฟคาดหัว
ภายในถ้ำ จะพบหินงอกหินย้อย บางก้อนมีสีออกเหลือแดง เนื่องจากมีแร่เหล็กผสมอยู่ในหิน หินในถ้ำเป็นหินยุคโครินเธียนตอนปลาย อายุประมาณ 400 ล้านปี ซึ่งมีอายุเก่าแก่เป็นอันดับ 2 รองจากกลุ่มหินตะรุเตา ซึ่งเป็นชั้นหินที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในประเทศ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ >>> ผู้จัดการออนไลน์
บางจุด บางช่วง เจ้าหน้าที่จะให้เจ้าหน้าที่พายเรือ ชะลอให้มารวมตัวพร้อมกัน เพื่ออธิบายความรู้เกี่ยวกับ หินงอกหินย้อย
หินงอกหินย้อย ตามเพดาน และผนังถ้ำ ซึ่งมีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่
หินงอกหินย้อย เป็นน้ำตก มีน้ำไหลตลอดเวลา
หินงอกหินย้อย ที่งอกจากด้านบนผนังถ้ำ ยังคงเจริญเติบโต งอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าหน้าที่พายไปเรื่อยๆ ให้เราชมความงามภายในถ้ำ และพร้อมให้ความรู้ ควบคู่ไปด้วย แต่ I am Devil ยัยตัวร้าย ไม่ค่อยจะได้ยินเท่าไหร่ เพราะนั่งด้านหน้าสุด แอบเสียดายอยู่เหมือนกันค่ะ
เจ้าหน้าที่ จะไม่พายเร็วมาก จะพายไปเรื่อยๆ ไม่ทิ้งช่วงห่างของแต่ละลำ
จุดตรงนี้ เจ้าหน้าที่ให้พวกเรารวมตัวกัน และให้ทุกคนปิดไฟฉาย เจ้าหน้าที่บอกว่าจะให้เราพบกับความมืดภายในถ้า เมื่อทุกคนปิดไฟฉายหมด ภายในถ้ำมืดมาก เงียบสงัด มีลมพัดเย็นๆ ผ่านตัว ชวนให้ขนลุกมากเลยค่ะ
ดูออกกันมั้ยคะ ว่ารูปทรงเหมือน เต่า
ภายในถ้ำ มีค้างคาวอาศัย
ถ้ำเลสเตโกดอน ถือว่าเป็นถ้ำเลที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เราใช้เวลาอยู่ในถ้ำประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็มีสู่ปลายอุโมงค์ เจ้าหน้าที่บอก ว่า ลองดูที่ปลายอุโมงค์ เห็นรูปหัวใจมั้ย เค้าเรียกว่า “ตามหาหัวใจที่ปลายอุโมงค์”
เรือแต่ละลำจอดรอ ให้แต่ละคนทยอยเดินข้ามผ่านช่องหิน
ต้องทยอยขึ้นทีละคน และลากเรือแคนนูขึ้นที่ละลำ
เป็นสะพานไม้ ซึ่งไม่ได้กว้างมาก เราขึ้นมาแล้ว รีบหาที่ยืนเพื่อไม่กีดขวาง เวลาเจ้าหน้าที่นำเรือแคนนู ขึ้นมา
นำเรือแคนนู ทยอยลงที่ละลำ พายต่อไปจุดที่เราต้องขึ้นเรือหางยาว
บันไดทางลง ขั้นบันไดจะค่อนข้างเล็ก เดินลงระวัง จับราวไว้ดีๆ ด้วยนะคะ
พายเรือผ่านป่าโกงกาง ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็จะถึงจุดที่เรือหางยาวจอดรอรับ
ว๊าย!!! ผู้ชายพายเรือ เจ้าหน้าที่พายเรือ คนนี้ หน้าคุ้นๆ นะ ^_^
จุดจอดเรือหางยาว ใครที่มาถึงก็ทยอยขึ้นเรือกันก่อนค่ะ มีขนม และน้ำ ให้บริการ
เรือยังมาไม่ครบทุกลำ เอากับเค้าบ้างอยากพายเรือแคนนูเล่น จัดซะเลย ไม่ได้พายซะนาน เล่นเอาบังคับกันไม่ถูกเลย
เอาเรือแคนนู ไปคืนเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องไปขึ้นเรือหางยาว เดี่ยวเจ้าหน้าที่พาไปส่ง แต่เราเป็นคนพาย
ไม่อยากบอกเลยว่า เจ้าหน้าที่คงเห็นท่าทางจะพายไม่พ้นเสาสะพาน ช่วยเอามือ ดันเสาสะพานให้รอดผ่านมาได้ ฮ่าๆๆๆ
เมื่อทุกคนขึ้นเรือหางยาวครบทุกคน เรือหางยาวมุ่งหน้าออกสู่ทะเลอันดามัน ไปขึ้นเรือที่ท่าอ้อย ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที
สถานที่ท่องเที่ยวของทริปนี้ ก็หมดลง เราต้องอำลา บ๊าย…บาย จ.สตูล กันแล้วค่ะ
ขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กองตลาดภาคใต้ ภูมิภาคใต้, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตรัง ที่เชิญ I am Devil ยัยตัวร้าย มาร่วมทริป “ลังกาวี – สตูล” เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน และเพื่อนร่วมทริปทุกๆ ท่านค่ะ
สำหรับทริปสตูล บอกเลยค่ะ ว่า Amazing มาก กับตำนานเล่าขานของ ถ้ำภูผาเพชร หินงอกหินย้อย แวววาวดั่งประกายเพชร จำนวนมากในถ้ำ และแสงมรกต
หาดสันหลังมังกร เป็นทะเลแหวกที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทาง 5 กิโลเมตร และเชื่อมต่อ 3 เกาะ
อุทยานธรณีสตูล (Satun Geo Park) แห่งแรกของประเทศไทย พบซากฟอสซิล ช้างสเตโกดอน ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว มีอายุมากวว่า 1.8 ล้านปี และจะได้รับรองจาก UNESCO ให้เป็น Global Geo Park เร็วๆ นี้
และ ถ้ำเลเสเตโกดอน เป็นถ้ำที่พบฟอสซิลเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย อายุประมาณ 500 ปี เก่าแก่กว่ายุคไดโนเสาร์ ฟอสซิลที่พบ เป็นฟอสซิลช้างสเตโกดอน อายุประมาณ 1.8 ล้านปี ฟอสซิลช้างเอลลิฟาส อายุประมาณ 1.1 ล้านปี นอกจากนี้ ยังมีซากแรดโบราณสกุลเกนดาธิเรียม และคิโลธิเรียม และค้นพบมนุษย์ถ้ำ กระดูกมนุษย์โบราณ
จังหวัดสตูล มีดีมากกว่าทะเล จริงๆ ค่ะ พอพูดถึงจังหวัดสตูล ก็ไม่ต้องคิดว่ามีแค่สถานที่ท่องเที่ยวหลีเป๊ะเพียงที่เดียวอีกต่อไปแล้วค่ะ ไม่ว่าจะหน้าฤดูกาลไหน ก็สามารถท่องเที่ยวสตูลได้ตลอดทั้งปี ลองหาโอกาสมาเที่ยวชมด้วยตาตัวเอง แล้วคุณจะรู้ว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่กล่าวข้างต้นจะ Amazing Unseen Thailand ขนาดไหน ต้องลองมาพิสูจน์กันค่ะ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกภาพ
Nikon D7100, D800e
เลนส์ AF-S 14-24 mm f/2.8, AF-S 24-70 mm f/2.8, AF-S 70-200 mm f/2.8, 10.5 mm f/2.8
Leave a Reply