มาเที่ยวตัวเมืองสงขลา หลายๆ คน ต้องมาเที่ยวย่านเมืองเก่าสงขลา ไม่ใกล้ไม่ไกล ก็จะมีวัดให้เราได้ไหว้พระสักการะ นั่นคือ “วัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง)”
วัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง)
ที่ตั้ง : ถนนไทรบุรี ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา
ซุ้มประตูหน้าวัดได้สร้างใหม่เป็นซุ้มประตูฝรั่งผสมจีน
บริเวณรอบๆ วัดทั้งสี่ทิศ จะมีรูปปั้นยักษ์ (ท้าวจตุมาหาราช) ตั้งอยู่บนกำแพง ยักษ์แต่ละตนจะมีชื่อแตกต่างกันไป ซึ่งโดยทั่วไปมักจะพบรูปยักษ์ยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าวัด ตามคติพุทธศาสนา ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่มนุษย์โลกทั้งหลาย
รูปปั้นยักษ์ที่ตั้งอยู่บนกำแพงวัดทั้งสี่ทิศ ยักษ์ตนนี้มีชื่อว่า ท้าววิรุฬหก เป็นจอมเทวดา หรือจอมกุมภัณฑ์ เป็นผู้ปกครองกุมภัณฑเทวดา ทั้งหมด อยู่ทิศใต้
ท้าวธตรฐ เป็นจอมภูต หรือจอมคนธรรพ์ เป็นผู้ปกครองคันธัพพ เทวดาทั้งหมด อยู่ทิศตะวันออก
ยักษ์อีก 2 ตน มีชื่อว่า
ท้าวกุเวร เป็นเจ้าแห่งยักษ์ทั้งปวงผู้ดูแล เป็นผู้ปกครองยักขะเทวดาทั้งหมด อยู่ทางทิศเหนือ
และ ท้าววิรูปักษ์ เป็นจอมนาค เป็นผู้ปกครองนาคะ เทวดาทั้งหมด อยู่ทิศตะวันตก
ซุ้มประตู เป็นรูปทรงมงกุฎที่กลางกำแพงวัดด้านละประตูรวม 4 ประตู
ต้นอชปาลนิโครธเฉลิมพระเกียรติ
ปลูกโดย คณะศิษยานุศิษย์ในพระครูนิพิษฐ์สมาจารย์ (ประกิจ) วัดมัชฌิมาวาส วันอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน จ.ศ 1357 วันที่ 3 กันยายน 2538 เวลา 13.09 จากประเทศอินเดีย พ.ต.เกรี หาญชนบท นำมาถวาย
เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 พรรษา วันอาทิตย์ แรม 9 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด จ.ศ 1358 วันที่ 9 มิถุนายน 2539
หอพระไตรปิฎก
หอพระไตรปิฎก สร้างเมื่อ พ.ศ. 2402 เป็นตึกก่ออิฐถือปูน พระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นตัวอย่างในการสร้างพระอุโบสถใหม่ เนื่องจากฐานพระอุโบสถทำต่ำ และอยู่ในที่ลุ่ม ส่วนฐานพระวิหาร และศาลาการเปรียญทำสูง ที่หน้าบันของพระไตรปิฎก มีรูปตราสุริยมณฑล และจันทรมณฑล ด้านละตา หอไตรชำรุดตามสภาพ วัดได้ปฏิสังขรณ์เมื่อ พ.ศ. 2514 และในปี พ.ศ. 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการบูรณะ การบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ วัด และศาสนาที่สำคัญ
เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะหอพระไตรปิฎกในปี พ.ศ. 2540
ประวัติพิเภก
พิเภก เป็นละครในเรื่องรามเกียรติ์ มีกายสีเขียว ทรงมงกุฎน้ำเต้า เป็นน้องของทศกัณฐ์ และกุมภกรรณ อดีตชาติ เป็นพระเวสสุณาณเทพบุตร พระอิศวร สั่งให้ไปจุติเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกันกับทศกัณฐ์ เพื่อเป็นไส้ศึกคอยบอกความลับต่างๆ ให้แก่ พระราม พร้อมประทานแว่นวิเศษติดที่ดวงตาขวา มองเห็นได้ทั้งสามโลก แม้กระทั่งอดีต และอนาคต พิเภกโดนทศกัณฐ์ขับออกจากกรุงลงกา เพราะไปแนะให้ทศกัณฐ์คืนนางสีดาแก่พระราม จึงเข้าร่วมกับฝ่ายพระราม ทำหน้าที่เป็นโหราจารย์
พิเภกมีส่วนช่วยในกองทัพพระรามเป็นอันมาก เป็นผู้บอกกลศึก และทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ของฝ่ายทศกัณฐ์ให้แก่พระราม เมื่อทศกัณฐ์ใกล้ตาย เพราะถูกศรพรหมาศของพระราม ทศกัณฐ์สำนึกได้ จึงเรียกพิเภกเข้าไปสั่งสอน โดยมีใจความหลักว่า ให้ประพฤติตนเป็นธรรม อย่าเกเรเหมือนตน ซึ่งบทนี้ถูกเรียกว่า “ทศกัณฐ์สอนน้อง” จากนั้น พิเภกได้รับแต่งตั้งจากพระรามให้เป็น “ท้าวทศคิริวงศ์” ครองกรุงลงกาแทนทศกัณฐ์สืบไป
หมอชีวกโกมารภัจจ์
หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นแพทย์หลวงประจำองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพิเภกโหราจารย์ ประจำองค์พระราม
สร้างเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พ.ศ. 2554
ทางเดินไปยังพระอุโบสถ และพระวิหาร
เมื่อเราเดินจากทางเข้าหน้าวัดทางซ้ายมือจะพบกับ เสาตะเกียบคู่ของเสาธง ศาลาฤาษี และหอระฆัง
เสาตะเกียบคู่ของเสาธง สร้างในรัชกาลพระเจ้าเกียเข่ง (จาชิ่ง) ปีที่ 7 (ค.ศ. 1802 ตรงกับ พ.ศ. 2345) เจ้าพระยาอินทคีรี (บุญหุ้ย ณ สงขลา) เป็นผู้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2345 และปฏิสังขรณ์เมื่อ พ.ศ. 2514 เสาตะเกียบคู่ทำด้วยหิน บนเสามีคำจารึกภาษาจีน และมีลวดลายจำหลักงดงาม
ศาลาฤาษี
ศาลาฤาษี หรือศาลาฤาษีดัดตน เป็นศาลาโถงทรงไทย เปิดโล่งก่อด้วยอิฐเผาสอปูน แต่ไม่โบกปูนปิดทับพื้นผิว มีช่วงเสาแบบซุ้มโค้งรอบอาคาร มีลักษณะคล้ายกันกับศาลาฤาษีที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพฯ สร้างสมัยพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา) ระหว่างปี พ.ศ. 2390 – พ.ศ. 2408
ศาลาฤาษี จะมีหน้าบันด้วยกัน 2 ด้าน หน้าบันเป็นลายรูปปั้นพุทธประวัติ โดยทางด้านตะวันออก เป็นรูปพระพุทธเจ้า ทรงลอยถาดในแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อเสี่ยงทายว่าพระองค์จะบำเพ็ญเพียรธรรมะจนตรัสรู้หรือไม่ ส่วนทางด้านตะวันตก เป็นรูปพระพุทธเจ้า ทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา
ศาลาฤาษีดัดตน ภายในศาลามีภาพจิตรกรรมเขียนด้วยสีฝุ่นบนผนังปูนมีรองพื้น เป็นเรื่องตำราแพทย์โบราณ และภาพฤาษีดัดตนรวม 40 ท่า แต่ละภาพจารึกด้วยโคลงสี่สุภาพอธิบายประกอบอยู่ใต้ภาพ คำโคลงเหล่านี้เลือกคัดลอกมาจาก เรื่องโคลงภาพฤาษีดัดตน ที่จารึกไว้บนผนังศาลารายในวัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ เขียนเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2406 ต่อมามีสภาพชำรุด พระราชศีลสังวร บริจาคทรัพย์ร่วมกับเงินงบประมาณของกรมศิลปากร บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2522
ท้าวกุเวรมหาราช
ภาคเศรษฐชุมพล เทพแห่งความร่ำรวย
หอระฆัง ก่ออิฐถือปูน สร้างโดยเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา) ระหว่างปี พ.ศ. 2390 – พ.ศ. 2408 สร้างพร้อมกับศาลาฤาษี ต่อมาได้ปฏิสังขรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2514
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส
ตั้งอยู่ทางด้านขวามือของพระอุโบสถ เดิมที เป็นศาลาการเปรียญ เป็นตึกก่ออิฐถือปูน สร้างโดย เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา) เมื่อ พ.ศ. 2395 มีหน้าบัน 2 ด้าน ด้านตะวันออก แกะสลักเรื่องพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จเยี่ยม พระนางพิมพาประสูติพระราชโอรสก่อนผนวช ส่วนด้านตะวันตก แกะสลักเรื่องพุทธประวัติ ตอนเสด็จออกผนวช บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่เมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2496 เสร็จเมื่อ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2496 เป็นตึกคอนกรีต หลังคาทรงจั่ว หน้าบันก่ออิฐถือปูน มีลายปูนปั้น 2 ด้าน ด้านตะวันออก จำหลัก เรื่องพุทธประวัติตอนตรัสรู้ ส่วนด้านตะวันตกจำหลักเรื่องพระพุทธประวัติตอนเสด็จมหาภิเนษกรมณ์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส เดิมทีมีชื่อเรียกว่า ภัทรศีล์พิพิธภัณฑ์ พระราชศีลสังวร (ช่วง อตถเวทีเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส สงขลา รูปที่ 12 และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสงขลา – สตูล เมื่อครั้งเป็นพระครูภัทรศีลสังวร ได้ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ขึ้น เพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ จากอำเภอสทิงพระ ระโนด และสิงหนคร โดยรวบรวมด้วยใจรัก ด้วยน้ำพักน้ำแรง และปัจจัยไวยาวัจกรของท่าน ตั้งแต่ พ.ศ. 2477 จนมรณภาพวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2524 รวมทั้งสิ้น 4,884 ชิ้น
ภัทรศีล์พิพิธภัณฑ์ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 อันเสริมสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณของวัดมัชฌิมาวาส สงขลา
โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุในพิพิธภัณฑ์ มีส่วนสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติเมืองสทิงพระ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในโบราณ ราว พ.ศ. 1482 มีอารยธรรมเฉพาะตน และทำการค้าขายทางทะเลกับเมืองจีน และเปอร์เชียมาช้านาน
วัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง)
เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญของเมืองสงขลา ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีอายุมากกว่า 400 ปี แต่เดิมชื่อ “วัดยายศรีจันทร์” ต่อมามีผู้สร้างวัดเลียบ และวัดโพธิ์ ขึ้นมาขนาบข้างทั้ง 2 ข้าง ชาวสงขลาจึงเรียกวัดยายศรีจันทร์ว่า “วัดกลาง” มาจนถึงทุกวันนี้ และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดมัชฌิมาวาส” ภายในบริเวณวัดยังมีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับเมืองสงขลา และเมืองอื่นๆ ทางภาคใต้ไว้อีกมากมาย
พระอุโบสถ เป็นอาคารทรงไทย สมัยรัตนโกสินทร์ โดยย่อส่วน และปรับปรุงแบบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือเป็นที่รู้จักในนาม วัดพรแก้ว กรุงเทพฯ เป็นฝีมือช่างหลวงในกรมช่างสิบหมู่จากกรุงเทพฯ ร่วมกับช่างเมืองสงขลา ส่วนประดับของเครื่องบน หรือหลังคามีช่อฟ้า แต่ไม่มีนาคสะดุ้ง หน้าบันด้านทิศตะวันออก เป็นรูปปั้นพระพรหมสี่หน้าทรงหงส์ ล้อมด้วยลายไทยกนก หน้าบันด้านทิศตะวันตก เป็นรูปปั้นพระอินทรทรงช้างเอราวัณ อยู่ในวงล้อมที่เป็นลายไทยกนก ที่หน้าบันภายในเป็นปูนปั้น หน้าบันด้านทิศตะวันออก เป็นรูปปั้นราหูอมจันทร์หน้าตรง และหน้าบันด้านทิศตะวันตก เป็นรูปปั้นราหูอมจันทร์หน้าเอียง มีซุ้มประตูเป็นรูปทรงพระมงกฎอยู่ ด้านละ 2 ซุ้ม ระหว่างช่องเสาด้านนอกเป็นรูปจำหลักบนหินเรื่องสามก๊ก ประตูหน้าต่างมีซุ้มมงกุฎประดับอยู่ด้านนอก
พระอุโบสถด้านทิศตะวันตก หน้าบันเป็นรูปปั้นพระอินทรทรงช้างเอราวัณ อยู่ในวงล้อมที่เป็นลายไทยกนก
พระอุโบสถด้านทิศตะวันออก หน้าบันเป็นรูปปั้นพระพรหมสี่หน้าทรงหงส์ ล้อมด้วยลายไทยกนก
ภายในพระอุโบสถ มีพระพุทธรูป หินอ่อนปางสมาธิราบ หน้าตักกว้าง 55 เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่ในบุษบก พุทธลักษณะแบบไทยผสมจีน ทำด้วยหินอ่อนฝีมือช่างจีน มีพระเกตุมาลาทำด้วยทองคำ กล่าวกันว่าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา) เป็นผู้ให้แบบสั่งมาจากประเทศจีน
พระอุโบสถหลังนี้ ไม่มีฝ้าเพดาน เพราะต้องการแสดงขือไม้ ที่ผนังพระอุโบสถทั้ง 4 ด้าน มีจิตรกรรมฝาผนัง เขียนเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2406
พระอุโบสถหลังนี้ มีซุ้มหน้าต่างเป็นรูปพระมงกุฎอยู่ 2 แถว แถวละ 7 ซุ้ม และมีซุ้มประตู รอบอาคารโบสถ์มีเสารองรับชายคาโดยรอบ
ซุ้มประตู และหน้าต่างปูนปั้นประดับกระจก ประดับรูปวานรแบกทวารบาล ซุ้มประตูมีตุ๊กตาหินจีนตั้งประดับ
พระอุโบสถหลังนี้ เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์ ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ 5 ในตระกูล ณ สงขลา เป็นผู้สร้างระหว่าง พ.ศ. 2390 – พ.ศ. 2408 ต่อมาพระอุโบสถหลังนี้ชำรุดทรุดโทรมมาก วัดมัชฌิมาวาส จึงได้ดำเนินการซ่อมตามแบบของกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2513 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2514 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินเป็นผู้แทนพระองค์มาประกอบพิธียกช่อฟ้า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2516 และกรมศิลปากรได้ใช้เงินงบประมาณอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2517
ด้านซ้ายมือของพระอุโบสถ เป็นพระวิหาร
พระเจดีย์แบบจีน
พระเจดีย์แบบจีน หรือ ถะ เป็นพระเจดีย์แบบศิลปะจีน 1 องค์ 7 ชั้น ย่อมุม 6 เหลี่ยม ทำด้วยหินแกรนิต เจ้าพระยาอินทคีรี (บุญหุ้ย ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ 2 เป็นผู้สร้าง ที่พระเจดีย์มีอักษรจารึกทั้งภาษาไทย และภาษาจีน บอกถึงผู้สร้าง เวลาสร้าง จุลศักราช 1160 ตรงกับ พ.ศ. 2341 ตรงกับปีที่ 17 สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จารึกอักษรไทย และจารึกในอักษรจีน สร้างในรัชกาลพระเจ้าเกียเข่ง (จาชิ่ง) ปีที่ 4 ค.ศ. 1799 ตรงกับ พ.ศ. 2342 ต่อมาชำรุด ทางวัดได้ปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ. 2514
พระวิหาร
พระวิหาร เป็นตึกก่ออิฐถือปูน สร้างทับที่เดิมซึ่งเคยเป็นพระอุโบสถ เจ้าพระยาอินทคีรี (บุญหุ้ย ณ สงขลา) เป็นผู้สร้างบูรณะปฏิสังขรณ์ พ.ศ. 2428 และบูรณะครั้งหลัง พ.ศ. 2472 – พ.ศ. 2477
หน้าบันด้านตะวันตก เป็นรูปปัญจวัคคีย์ และหน้าบันด้านตะวันออกสืบไม่ได้ว่าเป็นรูปอะไร หน้าพระวิหารในกำแพงแก้วมีสิงโตหิน 1 คู่
ชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวที่มาร่วมพิธีในวันสำคัญทางศาสนาต่างๆ จะเข้ามาประกอบพิธีที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ ทำสมาธิ หรือจะมาฟังเทศฟังธรรม
วัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง)
เป็นวัดเก่าแก่ที่สำคัญของเมืองสงขลา ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีอายุมากกว่า 400 ปี ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ มัชฌิมาวาส ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับเมืองสงขลา และเมืองอื่นๆ ทางภาคใต้ไว้อีกมากมาย รวมทั้งยังมีปูชนียวัตถุ และโบราณวัตถุ ที่น่าสนใจ อาทิ พระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ หอระฆัง พระเจดีย์แบบจีน เสาตะเกียบคู่ของเสาธง ใบเสมา 8 ทิศ ศาลาฤาษี หอพระไตรปิฎก กุฏิแบบเก๋งจีน ตำหนักพรมจรรย์ กำแพง และซุ้มประตู
อุปกรณ์ที่ใช้บันทึกภาพ
Body : Fujifilm X-T10
Lens : Fujinon Lens XF 10 – 24 mm F4 R OIS
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมรีวิวค่ะ สามารถพูดคุยกันได้ที่
Face Book : ยัยตัวร้าย สะพายกล้อง / Bloggertrip
IG : @bloggertripth
Twitter : @iamdevilth
Leave a Reply